วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2552

พบกาแฟออกฤทธิ์กู้ความจำเสื่อมให้กับคืนมาได้

นักประสาทวิทยาศาสตร์ของสหรัฐฯ พบว่า หากดื่มกาแฟสักวันละ 5 ถ้วย จะสามารถผลักดันอาการของโรคสมองเสื่อม ให้ถอยกลับไปได้.. สำนักข่าวต่างประเทศรายงานอ้างวารสารวิชาการ "โรคสมองเสื่อม" ของสหรัฐฯ แจ้งว่า นักประสาทวิทยาศาสตร์ได้พบว่า หากดื่มกาแฟสักวันละ 5 ถ้วย จะสามารถผลักดันอาการของโรคสมองเสื่อม ให้ถอยกลับไปได้ โดยนักวิจัยที่รัฐฟลอริดา พบหลักฐานในการศึกษากับหนู ซึ่งถูกเพาะขึ้นให้เป็นโรค ส่อว่าสารคาเฟอีนในกาแฟมีฤทธิ์ขัดขวางการเกิดคราบโปรตีนในสมอง ซึ่งเป็นเครื่องหมายประกาศของโรคสมองเสื่อม แต่หมออังกฤษรีบท้วงว่า ผู้ป่วยอย่าเพิ่งด่วนไปซื้ออาหารเสริมที่เข้าคาเฟอีนมากิน อย่างไรก็ดี ดร.แกรี อเรนแดช หัวหน้านักวิจัย กล่าวว่า ความรู้ใหม่นับว่าเป็นหลักฐานแสดงว่า ใช้คาเฟอีนเป็นยารักษาโรคสมองเสื่อมได้ เพราะไม่เพียงแต่ป้องกันได้อย่างเดียว ต้องถือว่าเป็นของสำคัญเพราะคาเฟอีนนับเป็นยาที่ปลอดภัยกับคนส่วนใหญ่ที่สุด มันออกฤทธิ์ต่อสมองเร็ว และดูเหมือนจะเข้าจัดการกับโรคโดยตรง ทั้งนี้ หนูทดลองที่เป็นโรค เมื่อได้กินน้ำใส่คาเฟอีน ซึ่งเทียบเท่ากับที่คนเราดื่มกาแฟในถ้วยซึ่งมีคาเฟอีนปนอยู่ 227 กรัม วันละ 5 ถ้วย พวกหนูปรากฏว่าคราบโปรตีนที่จับสมองอยู่ ได้เบาบางลง นอกจากนั้นมันยังแสดงให้เห็น มีความจำและคิดได้ไวขึ้น โดย ดร.แกรีกล่าวสรุปว่า ผลการศึกษาน่าสนใจตรงที่ว่า มันสามารถทำให้อาการความจำเสื่อมที่เป็นอยู่ก่อน ซึ่งยากจะฟื้น ให้กลับคืนมาได้ที่มา ไทยรัฐhttp://www.thairath.co.th/content/tech/17921
ที่มา http://www.radompon.com/webboard/index.php?topic=1508.0

ธารน้ำแข็งขั้วโลกใต้เริ่มบางเฉียบ

ธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดของทวีปแอนตาร์คติก (Antarctica) ได้บางลงเร็วขึ้นถึง 4 เท่าตัวในระยะเวลาเพียง 10 ปีที่ผ่านมาเท่านั้น ขั้วโลกใต้หรือทวีปแอนตาร์คติกเป็น แผ่นดินเนื้อที่ประมาณ 14 ล้านตารางกิโลเมตรหรือประมาณ 2 เท่าของทวีปออสเตรเลียซึ่ง ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งมานานชั่วนาตาปี ความหนาของน้ำแข็งบนแผ่นดินก็ประมาณ 1.6 กิโล เมตรโดยเฉลี่ย จากการศึกษาและวัดด้วยดาวเทียม ณ เกาะไพน์ของแอนตาร์คติกนั้นปรากฏว่าความหนาของน้ำแข็งละลายไปในอัตรา 16 เมตรต่อปี และตั้งแต่ปี ค.ศ. 1994 เป็นต้นมาน้ำแข็งได้ละลายไปถึง 90 เมตร ซึ่งมีผลทำให้ระดับน้ำทะเลโดยเฉลี่ยทั่วโลกสูงขึ้น ทีมงานซึ่งนำโดยศาสตราจารย์ดันแคน วิงแฮม แห่งมหาวิทยาลัยลอนดอน ประเทศอังกฤษ ได้คำนวณอัตราการละลายของธารน้ำแข็งไว้เมื่อ 15 ปีก่อนว่าจะต้องใช้เวลาถึง 600 ปี จึงจะละลายหมด แต่จากข้อมูลปัจจุบันเมื่อนำ มาคำนวณใหม่ปรากฏว่าเหลืออายุเพียง 100 ปีเท่านั้น ศาสตราจารย์แอนดรูว์ เชฟเฮิร์ด แห่ง มหาวิทยาลัยลีดส์ ได้กล่าวว่าถ้าหากธารน้ำแข็งตอนกลางทวีปละลายไปอาจจะทำให้น้ำทะเลสูงขึ้นประมาณ 20-30 เซนติเมตรโดยเฉลี่ย ศาสตราจารย์เจสัน บอกซ์ แห่งมหา วิทยาลัยแห่งรัฐโอไฮโอซึ่งได้ศึกษาอัตราการละลายของธารน้ำแข็งในขั้วโลกเหนือก็ได้กล่าวว่า “กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ตกใจว่าธารน้ำแข็งขนาดยักษ์เหล่านี้ถูกกระทบจากสภาวะโลกร้อนอย่างรวดเร็วเหลือเกิน ยิ่งศึกษาก็ยิ่งเจอ” ซึ่งทำให้เริ่มมั่นใจได้ว่า “สัญญาณเกลียวมรณะ” เกิดขึ้นจริง คงไม่มีวันหวนกลับคืน ซึ่งผู้อ่านสามารถอ่านเพิ่มเติมได้จากบทความ “สัญญาณเกลียวมรณะ” เดือนกันยายน 2551 หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ที่ผมเขียนไว้ ถ้าอ่านข่าวเกี่ยวกับเรื่อง ไต้ฝุ่น “มรกต” ที่ทำให้เกิดโคลนถล่มในไต้หวันมีผู้ถูกฝังทั้งเป็นถึง 500 ศพ ขณะผมเขียนบทความวันที่ 14 สิงหาคม 2552 นี้เองก็คงจะยืนยันได้ว่าความเร็วและความแรงของพายุทั่วโลกจะรุนแรงและอันตรายมากขึ้นตามลำดับ ซึ่งก็ตรงกับรายงานของบีบีซีเร็ว ๆ นี้เองที่ว่า “ปัจจุบันเกิดพายุเฮอริเคนมากผิดปกติและมีความถี่สูงสุดตั้งแต่ช่วงหนึ่งพันปีที่ ผ่านมา” ผมก็เลยนำความจริงที่เกิดขึ้นบนโลกใบ นี้มาเขียนบ้างอย่างน้อยท่านผู้อ่านพิจารณาแล้วจะช่วยคิดทำกันอย่างไรบ้าง เราอยู่บนโลกใบเดียวกันครับ.
รองศาสตราจารย์ดร.บุญมาก ศิริเนาวกุลboonmark@rsu.ac.th
ที่มา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=322&contentID=15116

วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เรียนฟรี 15 ปีอย่างมีคุณภาพ

นโยบายเรียนฟรี 15 ปี ในความคิดเห็นของคุณ...