วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2552

เทคโนโลยีสารสนเทศกับการกับการพัฒนาโรงเรียน

          
          
  ปัจจุบันระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เข้ามามีบทบาทในการปฏิบัติงานในโรงเรียนมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้คอมพิวเตอร์ เป็นเครื่องมือในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งสื่อสารประชาสัมพันธ์ จนอาจกล่าวได้ว่าคอมพิวเตอร์เป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียนในประเทศไทย ในทุกระดับ


ความจริงแล้วคำว่า “เทคโนโลยีสารสนเทศ” มิได้หมายถึงเฉพาะคอมพิวเตอร์เท่านั้น ดังจะเห็นได้จากคำจำกัดความของคำว่า “เทคโนโลยีสารสนเทศ” (Infornation Technology )หมายถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดกระทำข้อมูลหรือประมวลผลข้อมูลให้ได้มาซึ่ง สารสนเทศ ทำให้สารสนเทศมีประโยชน์และใช้งานได้กว้างขวางมากขึ้น การพัฒนาระบบเทคโนโลยีสนเทศในโรงเรียนนั้น ควรคำนึงถึง ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และให้เป็นประโยชน์สูงสุด ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่จำเป็นในระบบการศึกษาอาจแบ่งได้ออกเป็น 2 ส่วน คือ

 
1. เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการ


2. เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนการสอน

 
1. เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหาร


การพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการ สถานศึกษาหรือโรงเรียนควรมีแนวทางในการดำเนินการให้ได้มาซึ่งสารสนเทศในอันที่จะก่อให้เกิดการตัดสินใจแก้ปัญหาในทางที่ถูกต้อง สามารถกำหนดเป็นแผนปฏิบัติการที่มีข้อมูลสารสนเทศสนับสนุนมากกว่าการคาดเดา ข้อมูลสารสนเทศดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศสองส่วนด้วยกันคือ



1.1 ด้านอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และระบบเครือข่าย ส่วนนี้ถือว่าเป็นพื้นฐานของพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศในโรงเรียน การเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันเป็นระบบเครือข่ายจะสามารถทำให้การจัดการข้อมูลในแต่ละส่วนของโรงเรียนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในระบบต้องสามารถถ่ายโอนข้อมูลเข้าสู่คอมพิวเตอร์แม่ข่ายได้ การเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในโรงเรียนนั้น จัดทำได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับสภาพความพร้อมและงบประมาณ ดังนั้นโรงเรียนควรมีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องระบบเครือข่ายเพื่อให้คำปรึกษาหรือจัดวางระบบให้ได้มาตรฐาน และรองรับการขยายตัวของระบบเครือข่ายในอนาคต


รูปที่ 1 แนวทางการพัฒนาระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์อย่างง่าย




1.2 ด้านซอฟท์แวร์ สำหรับบริหารจัดการข้อมูล ส่วนนี้เป็นส่วนที่สำคัญมากสำหรับระบบ เพราะถึงแม้ว่าเราจะมีคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่ายที่ดี แต่ถ้าไม่มีซอฟท์แวร์สำหรับบริหารจัดการข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ ก็จะทำให้ระบบสารสนเทศในโรงเรียนไม่เป็นไปตามความคาดหวัง จะไม่มีข้อมูลที่มีประสิทธิภาพในการตัดสินใจแก้ปัญหาที่ถูกต้อง



ซอฟท์แวร์ หรือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับการบริหารงานที่ดีควรมีองค์ประกอบดังนี้

1.2.1 ควรเป็นโปรแกรมที่มีระบบการจัดเก็บข้อมูลที่เป็นหนึ่งเดียวกันในทุกฝ่ายงาน ผ่านระบบเครือข่าย

1.2.2 ควรเป็นโปรแกรมที่สามารถประมวลผลข้อมูลใหม่ได้ทันทีที่ต้องการ (Real Time)

1.2.3 ควรเป็นโปรแกรมที่สามารถนำข้อมูลของแต่ละฝ่ายงานมาประมวลผลเป็น สารสนเทศที่เอื้ออำนวยต่อการบริหารงานในโรงเรียน

1.2.4 ควรเป็นโปรแกรมที่มีระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูล และกำหนดสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลตามลำดับชั้นของผู้รับผิดชอบ



รูปที่ 2 แสดงการบริหารข้อมูลพื้นฐานนักเรียน และการเรียกใช้







ฐานข้อมูลที่โรงเรียนควรต้องดำเนินการจัดเก็บเป็นข้อมูลกลางที่ฝ่ายต่าง ๆ สามารถเรียกใช้ผ่านระบบเครือข่าย ควรมีข้อมูลต่อไปนี้



ก. ข้อมูลนักเรียน

ข. ข้อมูลบุคลากร

ค. ข้อมูลแผนงาน/โครงการ



สารสนเทศพื้นฐานที่จำเป็นต่อการบริหารงาน



ก. สารสนเทศเกี่ยวกับตัวนักเรียน เช่น

- สารสนเทศเกี่ยวสภาพครอบครัว

- สารสนเทศเกี่ยวกับสุขภาพอนามัย

- สารรสนเทศเกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

- ฯลฯ

ข. สารสนเทศเกี่ยวกับบุคลากร

- สารสนเทศเกี่ยวกับประวัติบุคลากร

- สารสนเทศเกี่ยวกับความชำนาญการ และเชี่ยวชาญ

- สารสนเทศเกี่ยวกับการฝึกอบรม

- ฯลฯ

ค. สารสนเทศเกี่ยวกับงานแผนงาน โครงการต่าง ๆ

- สารสนเทศเกี่ยวกับการดำเนินงานตามแผนงาน โครงการ

- สารสนเทศเกี่ยวกับการใช้งบประมาณ

- สารสนเทศเกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ของงาน โครงการ



นอกจากนี้โรงเรียนอาจจัดระบบข้อมูลอื่น ๆ ตามความจำเป็น ให้สามารถตอบโจทย์ได้ว่าโรงเรียนได้ดำเนินการให้บรรลุผลตามจุดประสงค์ ปรัชญา และวิสัยทัศน์ของโรงเรียนมากน้อยเพียงใด



2. เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนการสอน

การพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนการสอนนี้ ต้องอาศัยนโยบายด้าน ICT ของโรงเรียน เพราะการนำเทคโนโลยีมาเพื่อการเรียนการสอนนั้นต้องใช้งบประมาณค่อนข้างสูง โดยโรงเรียนต้องดำเนินการให้มีวัสดุอุปกรณ์ให้เพียงพอต่อการใช้งานในอัตราส่วนที่เหมาะสมและสะดวกในการใช้งาน กระจายสู่ห้องเรียน มากกว่ารวมอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง และเน้นการใช้สื่อการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ ทั้งสื่อสิ่งพิมพ์และ สื่ออีเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งการพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความเข้าใจ และทักษะในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งมีแนวทางในการดำเนินการ ดังนี้



2.1 ด้านอุปกรณ์ (Hard ware)โรงเรียนจำเป็นต้องจัดหาวัสดุอุปกรณ์โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ให้พอเพียงต่อการใช้งาน และกระจายลงสู่ห้องเรียน มากกว่ากระจุกอยู่ในห้องใดห้องหนึ่ง ซึ่งจะเอื้อต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ส่งเสริมให้นักเรียนได้มีโอกาสใช้อุปกรณ์เพื่อนำเสนอผลงาน และศึกษาค้นคว้าจากแหล่งเรียนรู้ได้สะดวกและรวดเร็ว ทันต่อเหตุการณ์

อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ควรจัดให้มีในห้องปฏิบัติการต่าง ๆ

ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ (เคมี ชีววิทยา ฟิสิกส์)

ห้องปฏิบัติการคณิตศาสตร์

ห้องปฏิบัติการทางภาษา (ภาษาไทย และภาษาต่างประเทศ)

ห้องปฏิบัติการศูนย์การเรียนรู้

ห้องสมุดสำหรับสืบค้นข้อมูล และใช้สื่อประเภทต่าง ๆ

ห้องเรียนอื่น ๆ ตามความเหมาะสมของแต่ละโรงเรียน







2.2 ด้านสื่อการเรียนการสอน (Soft ware) โรงเรียนจำเป็นต้องจัดหาสื่อการเรียนการสอนที่มีคุณภาพและสนับสนุนให้ครูใช้สื่อการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับเนื้อหาบทเรียนที่สอน โดยจัดเป็นศูนย์บริการสื่อการเรียนการสอน ซึ่งสื่อด้านอีเล็กทรอนิกส์ในปัจจุบันมีหลากหลายรูปแบบ เช่น สื่อประเภทคอมพิวเตอร์ช่วยสอน สื่อประเภทสารคดี สื่อประเภทสถานการณ์จำลอง สื่อประเภทฝึกทักษะต่าง ๆ

2.3 ส่งเสริมสนับสนุนให้บุคลากร ได้มีโอกาสพัฒนาตนเองในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ การเลือกใช้สื่อให้เหมาะสม การผลิตสื่อการเรียนการสอนด้วยตนเอง ส่งเสริมให้มีการวิจัย วิเคราะห์ การใช้สื่อประเภทต่าง ๆ



หวังว่าแนวคิดในการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศในโรงเรียนนี้ จะเป็นประโยชน์แก่โรงเรียนบ้าง หรืออย่างน้อยก็น่าจะไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับสภาพของแต่ละโรงเรียนได้บ้างนะคะ



ทีมา http://gotoknow.org/blog/jongpop/121138

รายชื่อนักศึกษา

รายชื่อนักศึกษาปริญญาโท (บริหารการศึกษา)


มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ศูนย์ 13 จังหวัดตาก

ลำดับที่ รหัสนักศึกษา ชื่อ- นามสกุล E-mall

1 519180201 นายกษฤากร สงพูล kitsadagone2007@hotmail.com

2 519180202 นายขจรศักดิ์ ขัติโย khajornsuk1@hotmail.com

3 519180261 นายปรเมศวร์ ศรีปา punfun2u@hotmail.com

4 519180204 นายณรงค์ สิมลา -

5 519180205 นายทวีศักดิ์ คำภีระ bentyk@hotmail.com

6 519180206 นายบัญญัติ วันชัย boyteach@hotmail.com

7 519180207 นายบูรพา กองพร tiger2714@hotmail.com

8 519180208 นายพีรพงศ์ โพธาชัย phong80@windowslive.com

9 519180209 นายมณี พัดขำ tungdoy.mn@hotmail.com

10 519180210 นายยุทธจักร ผาแสนเถิน sm158yuthajak@gmail.com

11 519180211 นายระพิน เกษแก้ว eyeeye@windowslive.com

12 519180212 นายรุ่งทวี พรรณา rungtawee@gmail.com

13 519180260 นายกัมพล กมลวิสัย kam.pon@hotmail.com

14 519180214 นายวัลลภ แสงสว่าง winyu@chaiyo.com

15 519180215 นายศตพร เผื่อนงูเหลือม vinkee_03@hotmail.com

16 519180218 นายสงกรานต์ ธนะการ krukan3@hotmail.com

17 519180219 นายสมบัติ ไพฑูรย์ sombutp7@gmail.com

18 519180220 นายสามารถ สุขเกษม samart_m16@hotmail.com

19 519180264 นางสาวดวงแก้ว กันเอื้อง aungdoy.pk@hotmail.com

20 519180222 นายอนุชิต เชษฐตระกูล anuchit_chet@hotmail.com

21 519180223 นายอิศยม เครือคำแดง triac_07@hotmail.com

22 519180224 นางกัญญา ขอนเดื่อ -

23 519180262 นายธงชาติ สอนคำ s_come17@hotmail.com

24 519180263 นางสาวธัญญกมน นุสุกะ koy-a-di@hotmail.com

25 519180227 นางณัฏฐ์นรี ไชยนันทน์ tuadee1@hotmail.com

26 519180228 นางณัฐมล กลิ่นหอม sweet-angie@windowslive.com

27 519180229 นางเดือนเพ็ญ รักประชา duanpen2520@hotmail.com

28 519180230 นางธนพร กองคำ iamjanenaja@hotmail.com

29 519180231 นางธัญลักษณ์ กาวินำ tanyalak_780@thaimail.com

30 519180232 นางนภาภรณ์ ปันธิยะ -

31 519180233 นางนริศรา ลีลา -

32 519180234 นางปราณี ใบทอง yaypu.03@hotmail.com

33 519180236 นางวิภาวดี เจ๊กพ่วง vipavadee_j@hotmail.com

34 519180237 นางวิไลพร จิโน kroo_pon@hotmail.com

35 519180239 นางสาวสิวิณีย์ ลำใน siwinee2523@gmail.com

36 519180240 นางสุพรรณี แก้วปาเขียว kruteaws@thaimail.com

37 519180241 นางสุภาพร จอมประเสริฐ supapornying@thaimail.com

38 519180242 นางสุภาวดี คงคำ teerachot589109@hotmail.com

39 519180243 นางอรทัย ยาโนยะ orathy@hotmail.com

40 519180248 นายวิญญุ ถิ่นจอม winyu@chaiyo.com

41 519180249 นายสมชาย แก่นเมือง -

42 519180250 นายสุเชษฐ์ รัตนเสถียร pupa2546@yahoo.com

43 519180251 นายสุบรรณ กมลเลิศ -

44 519180252 นายสุประกิจ ทับทิมทอง boyxxx-@hotmail.com

45 519180253 นางสาวกันยา ผัดนุ่น o-ung@windowslive.com

46 519180254 นางเขมิกา แก่นเมือง -

47 519180259 นางศิริรัตน์ คีรีกังวาล beautifai@hotmail.com



E-mail กลาง : mcrutak@hotmail.com

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2552

พบกาแฟออกฤทธิ์กู้ความจำเสื่อมให้กับคืนมาได้

นักประสาทวิทยาศาสตร์ของสหรัฐฯ พบว่า หากดื่มกาแฟสักวันละ 5 ถ้วย จะสามารถผลักดันอาการของโรคสมองเสื่อม ให้ถอยกลับไปได้.. สำนักข่าวต่างประเทศรายงานอ้างวารสารวิชาการ "โรคสมองเสื่อม" ของสหรัฐฯ แจ้งว่า นักประสาทวิทยาศาสตร์ได้พบว่า หากดื่มกาแฟสักวันละ 5 ถ้วย จะสามารถผลักดันอาการของโรคสมองเสื่อม ให้ถอยกลับไปได้ โดยนักวิจัยที่รัฐฟลอริดา พบหลักฐานในการศึกษากับหนู ซึ่งถูกเพาะขึ้นให้เป็นโรค ส่อว่าสารคาเฟอีนในกาแฟมีฤทธิ์ขัดขวางการเกิดคราบโปรตีนในสมอง ซึ่งเป็นเครื่องหมายประกาศของโรคสมองเสื่อม แต่หมออังกฤษรีบท้วงว่า ผู้ป่วยอย่าเพิ่งด่วนไปซื้ออาหารเสริมที่เข้าคาเฟอีนมากิน อย่างไรก็ดี ดร.แกรี อเรนแดช หัวหน้านักวิจัย กล่าวว่า ความรู้ใหม่นับว่าเป็นหลักฐานแสดงว่า ใช้คาเฟอีนเป็นยารักษาโรคสมองเสื่อมได้ เพราะไม่เพียงแต่ป้องกันได้อย่างเดียว ต้องถือว่าเป็นของสำคัญเพราะคาเฟอีนนับเป็นยาที่ปลอดภัยกับคนส่วนใหญ่ที่สุด มันออกฤทธิ์ต่อสมองเร็ว และดูเหมือนจะเข้าจัดการกับโรคโดยตรง ทั้งนี้ หนูทดลองที่เป็นโรค เมื่อได้กินน้ำใส่คาเฟอีน ซึ่งเทียบเท่ากับที่คนเราดื่มกาแฟในถ้วยซึ่งมีคาเฟอีนปนอยู่ 227 กรัม วันละ 5 ถ้วย พวกหนูปรากฏว่าคราบโปรตีนที่จับสมองอยู่ ได้เบาบางลง นอกจากนั้นมันยังแสดงให้เห็น มีความจำและคิดได้ไวขึ้น โดย ดร.แกรีกล่าวสรุปว่า ผลการศึกษาน่าสนใจตรงที่ว่า มันสามารถทำให้อาการความจำเสื่อมที่เป็นอยู่ก่อน ซึ่งยากจะฟื้น ให้กลับคืนมาได้ที่มา ไทยรัฐhttp://www.thairath.co.th/content/tech/17921
ที่มา http://www.radompon.com/webboard/index.php?topic=1508.0

ธารน้ำแข็งขั้วโลกใต้เริ่มบางเฉียบ

ธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดของทวีปแอนตาร์คติก (Antarctica) ได้บางลงเร็วขึ้นถึง 4 เท่าตัวในระยะเวลาเพียง 10 ปีที่ผ่านมาเท่านั้น ขั้วโลกใต้หรือทวีปแอนตาร์คติกเป็น แผ่นดินเนื้อที่ประมาณ 14 ล้านตารางกิโลเมตรหรือประมาณ 2 เท่าของทวีปออสเตรเลียซึ่ง ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งมานานชั่วนาตาปี ความหนาของน้ำแข็งบนแผ่นดินก็ประมาณ 1.6 กิโล เมตรโดยเฉลี่ย จากการศึกษาและวัดด้วยดาวเทียม ณ เกาะไพน์ของแอนตาร์คติกนั้นปรากฏว่าความหนาของน้ำแข็งละลายไปในอัตรา 16 เมตรต่อปี และตั้งแต่ปี ค.ศ. 1994 เป็นต้นมาน้ำแข็งได้ละลายไปถึง 90 เมตร ซึ่งมีผลทำให้ระดับน้ำทะเลโดยเฉลี่ยทั่วโลกสูงขึ้น ทีมงานซึ่งนำโดยศาสตราจารย์ดันแคน วิงแฮม แห่งมหาวิทยาลัยลอนดอน ประเทศอังกฤษ ได้คำนวณอัตราการละลายของธารน้ำแข็งไว้เมื่อ 15 ปีก่อนว่าจะต้องใช้เวลาถึง 600 ปี จึงจะละลายหมด แต่จากข้อมูลปัจจุบันเมื่อนำ มาคำนวณใหม่ปรากฏว่าเหลืออายุเพียง 100 ปีเท่านั้น ศาสตราจารย์แอนดรูว์ เชฟเฮิร์ด แห่ง มหาวิทยาลัยลีดส์ ได้กล่าวว่าถ้าหากธารน้ำแข็งตอนกลางทวีปละลายไปอาจจะทำให้น้ำทะเลสูงขึ้นประมาณ 20-30 เซนติเมตรโดยเฉลี่ย ศาสตราจารย์เจสัน บอกซ์ แห่งมหา วิทยาลัยแห่งรัฐโอไฮโอซึ่งได้ศึกษาอัตราการละลายของธารน้ำแข็งในขั้วโลกเหนือก็ได้กล่าวว่า “กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ตกใจว่าธารน้ำแข็งขนาดยักษ์เหล่านี้ถูกกระทบจากสภาวะโลกร้อนอย่างรวดเร็วเหลือเกิน ยิ่งศึกษาก็ยิ่งเจอ” ซึ่งทำให้เริ่มมั่นใจได้ว่า “สัญญาณเกลียวมรณะ” เกิดขึ้นจริง คงไม่มีวันหวนกลับคืน ซึ่งผู้อ่านสามารถอ่านเพิ่มเติมได้จากบทความ “สัญญาณเกลียวมรณะ” เดือนกันยายน 2551 หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ที่ผมเขียนไว้ ถ้าอ่านข่าวเกี่ยวกับเรื่อง ไต้ฝุ่น “มรกต” ที่ทำให้เกิดโคลนถล่มในไต้หวันมีผู้ถูกฝังทั้งเป็นถึง 500 ศพ ขณะผมเขียนบทความวันที่ 14 สิงหาคม 2552 นี้เองก็คงจะยืนยันได้ว่าความเร็วและความแรงของพายุทั่วโลกจะรุนแรงและอันตรายมากขึ้นตามลำดับ ซึ่งก็ตรงกับรายงานของบีบีซีเร็ว ๆ นี้เองที่ว่า “ปัจจุบันเกิดพายุเฮอริเคนมากผิดปกติและมีความถี่สูงสุดตั้งแต่ช่วงหนึ่งพันปีที่ ผ่านมา” ผมก็เลยนำความจริงที่เกิดขึ้นบนโลกใบ นี้มาเขียนบ้างอย่างน้อยท่านผู้อ่านพิจารณาแล้วจะช่วยคิดทำกันอย่างไรบ้าง เราอยู่บนโลกใบเดียวกันครับ.
รองศาสตราจารย์ดร.บุญมาก ศิริเนาวกุลboonmark@rsu.ac.th
ที่มา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=322&contentID=15116

วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เรียนฟรี 15 ปีอย่างมีคุณภาพ

นโยบายเรียนฟรี 15 ปี ในความคิดเห็นของคุณ...